อาการตาล้าเป็นอย่างไร มีวิธีป้องกันตาล้าอย่างไรได้บ้าง
icon  icon
ตาล้าคืออะไร

ตาล้าเกิดจากอะไร เจาะลึกสาเหตุและการป้องกันไม่ให้ใช้งานหนักเกิน

อาการตาล้าเป็นปัญหาที่พบได้บ่อยในชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะในยุคที่เราใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการทำงานหน้าคอมพิวเตอร์ การใช้สมาร์ตโฟน หรือการอ่านหนังสือเป็นเวลานาน เมื่อดวงตาทำงานหนักเกินไป จะเริ่มแสดงสัญญาณเตือนผ่านอาการตาล้าที่รบกวนการใช้ชีวิตประจำวัน มาทำความเข้าใจเกี่ยวกับสาเหตุของอาการตาล้าและวิธีป้องกันไม่ให้ดวงตาต้องทำงานหนักจนเกินไปกัน

โรคตาล้า (Asthenopia) คืออะไร

โรคตาล้า หรือ ในทางการแพทย์เรียกว่า Asthenopia เป็นกลุ่มอาการที่เกิดจากการใช้สายตามากเกินไปหรือใช้ในสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมาะสม ส่งผลให้กล้ามเนื้อตาทำงานหนักและเกิดความเมื่อยล้า โรคนี้ไม่ได้เป็นโรคร้ายแรงที่ทำให้ตาบอด แต่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตและประสิทธิภาพในการทำงานอย่างมาก ทั้งนี้ ตาล้าสามารถเกิดได้กับทุกเพศทุกวัย แต่มักพบบ่อยในคนที่ต้องใช้สายตาหนักอย่างต่อเนื่อง เช่น ผู้ที่ทำงานกับคอมพิวเตอร์ นักเรียน นักศึกษา หรือผู้ที่ต้องอ่านหนังสือเป็นเวลานาน

อาการตาล้าเป็นอย่างไร

อาการตาล้ามีหลากหลายรูปแบบและแตกต่างกันไปในแต่ละคน โดยอาการพื้นฐานที่พบได้บ่อยคือ รู้สึกแสบตา คันตา น้ำตาไหล ตาแห้ง ตาพร่ามัว มองเห็นไม่ชัด ปวดตา และปวดศีรษะ บางคนอาจมีอาการเคืองตาเมื่อโดนแสงจ้า หรือรู้สึกว่าต้องหรี่ตาเพื่อมองเห็นได้ชัดเจนขึ้น นอกจากนี้ ยังอาจมีอาการตาพร่า มองเห็นภาพซ้อน หรือรู้สึกเหมือนมีวัตถุแปลกปลอมในดวงตา อาจเกิดขึ้นหลังใช้สายตาเพียงระยะเวลาสั้น ๆ หรืออาจค่อย ๆ สะสมและรุนแรงขึ้นเมื่อใช้สายตาต่อเนื่องเป็นเวลานาน

โรคตาล้าเกิดจากสาเหตุอะไร

โรคตาล้าไม่ได้เกิดจากสาเหตุเดียว แต่มีหลายปัจจัยที่ส่งผลให้เกิดอาการนี้ ทั้งจากพฤติกรรมการใช้สายตา สภาพแวดล้อม และความผิดปกติของค่าสายตา การทำความเข้าใจถึงสาเหตุจะช่วยให้เราสามารถป้องกันและแก้ไขปัญหาได้อย่างตรงจุด มาดูกันว่ามีสาเหตุอะไรบ้าง

การใช้สายตานานเกินไป

การใช้สายตาต่อเนื่องเป็นเวลานานโดยไม่พักสายตา โดยเฉพาะการจ้องหน้าจอดิจิทัลต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นคอมพิวเตอร์ สมาร์ตโฟน แท็บเล็ต หรือโทรทัศน์ หน้าจอเหล่านี้ปล่อยแสงสีฟ้า (Blue Light) ที่ส่งผลเสียต่อจอประสาทตา และการจ้องมองในระยะเดิมเป็นเวลานาน ทำให้กล้ามเนื้อตาทำงานหนักและเกิดกล้ามเนื้อตาอ่อนแรงได้ นอกจากนี้ เวลาที่เราจดจ่อกับการมองจอ เรามักจะกะพริบตาน้อยลงกว่าปกติถึง 3 เท่า ส่งผลให้ตาแห้งและเกิดอาการระคายเคือง

การใช้สายตาในที่มืด

การอ่านหนังสือหรือใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ในที่ที่มีแสงสว่างไม่เพียงพอ ทำให้ดวงตาต้องทำงานหนักเพื่อปรับโฟกัสและจับภาพ ส่งผลให้กล้ามเนื้อตาเกิดความเครียดและล้า นอกจากนี้ แสงสว่างที่ไม่สม่ำเสมอหรือมีแสงจ้าจากหน้าจอในห้องมืดยิ่งส่งผลเสียต่อดวงตามากขึ้น เนื่องจากม่านตาต้องปรับขนาดอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง การชอบอ่านหนังสือใต้แสงไฟที่มีความสว่างต่ำ หรือการเล่นโทรศัพท์ในห้องมืดก่อนนอน ล้วนเป็นพฤติกรรมที่ส่งผลให้เกิดอาการตาล้าได้อย่างรวดเร็ว

ค่าสายตาผิดปกติ

ค่าสายตาผิดปกติ

ความผิดปกติของค่าสายตาที่ไม่ได้รับการแก้ไข เช่น สายตาสั้น สายตายาว สายตาเอียง หรือสายตาผิดปกติอื่น ๆ เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดอาการตาล้า เมื่อเรามีปัญหาสายตาแต่ไม่ได้ใส่แว่นหรือคอนแทคเลนส์ที่เหมาะสม ดวงตาจะต้องทำงานหนักเพื่อปรับโฟกัสให้มองเห็นชัด ส่งผลให้กล้ามเนื้อตาเกิดความเมื่อยล้า นอกจากนี้ แม้จะใช้แว่นตาหรือคอนแทคเลนส์ แต่หากค่าสายตาไม่ตรงกับความเป็นจริง ก็อาจทำให้เกิดอาการตาล้าได้เช่นกัน 

โรคเกี่ยวกับดวงตา

โรคต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับดวงตาสามารถส่งผลให้เกิดอาการตาล้าได้ง่ายขึ้น เช่น โรคตาแห้ง ซึ่งเกิดจากการผลิตน้ำตาไม่เพียงพอหรือคุณภาพน้ำตาไม่ดี ทำให้ดวงตาขาดความชุ่มชื้นและเกิดอาการระคายเคือง โรคเยื่อบุตาอักเสบ ที่ทำให้เกิดอาการคันตา แสบตา และตาแดง รวมถึงโรคต้อหิน ต้อกระจก หรือความผิดปกติของจอประสาทตาก็อาจทำให้มีอาการตาล้าร่วมด้วย บุคคลที่มีโรคเหล่านี้ควรได้รับการดูแลจากจักษุแพทย์อย่างใกล้ชิด และอาจต้องเข้ารับการรักษาเพื่อแก้ไขปัญหาอย่างตรงจุด

ขับขี่รถยนต์ระยะทางไกล

ระหว่างขับรถดวงตาต้องจดจ่อกับถนนและสภาพแวดล้อมตลอดเวลา ต้องปรับโฟกัสระหว่างระยะไกลและใกล้บ่อยครั้ง และต้องเผชิญกับแสงไฟจากรถคันอื่นหรือแสงสะท้อนจากถนน นอกจากนี้ ความเครียดและความเหนื่อยล้าจากการเดินทางไกลยังส่งผลต่อการทำงานของดวงตาอีกด้วย ผู้ที่ต้องขับรถเป็นระยะทางไกลควรพักสายตาเป็นระยะ โดยการจอดรถและปิดตาพักประมาณ 5-10 นาที ทุก 2 ชั่วโมง เพื่อลดอาการตาล้า

การป้องกันอาการตาล้า

การป้องกันอาการตาล้าไม่ใช่เรื่องยาก หากเรารู้จักดูแลและใช้ดวงตาอย่างถูกวิธี การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้สายตาและสร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมสามารถช่วยลดความเสี่ยงของอาการตาล้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ มาดูกันว่ามีวิธีป้องกันอย่างไรบ้าง เพื่อรักษาดวงตาให้แข็งแรงและไม่เหนื่อยล้าจนเกินไป

พักสายตา

แนะนำให้ใช้กฎ 20-20-20 คือ ทุก ๆ 20 นาทีที่ใช้สายตามองจอหรือทำงานที่ต้องใช้สายตามาก ให้พักสายตา 20 วินาที โดยมองไปที่วัตถุที่อยู่ห่างออกไปอย่างน้อย 20 ฟุต (ประมาณ 6 เมตร) การทำเช่นนี้จะช่วยให้กล้ามเนื้อตาได้ผ่อนคลายและไม่ต้องจดจ่ออยู่ที่วัตถุในระยะเดิมตลอดเวลา นอกจากนี้ การนวดบริเวณรอบดวงตาเบา ๆ หรือการประคบตาด้วยผ้าชุบน้ำอุ่น ก็ช่วยลดความเมื่อยล้าของกล้ามเนื้อตาได้เป็นอย่างดี

กะพริบตาบ่อย ๆ

การกะพริบตาเป็นกลไกธรรมชาติที่ช่วยให้น้ำตากระจายทั่วผิวดวงตา ทำให้ดวงตาชุ่มชื้นและป้องกันอาการตาแห้ง เมื่อเราจดจ่อกับหน้าจอหรืองานที่ต้องใช้สายตามาก เรามักจะกะพริบตาน้อยลงกว่าปกติ ทำให้เกิดอาการตาแห้งและระคายเคือง การฝึกกะพริบตาบ่อย ๆ อย่างรู้ตัว โดยเฉพาะระหว่างใช้คอมพิวเตอร์หรือสมาร์ตโฟน จะช่วยบรรเทาอาการได้ นอกจากนี้ การใช้น้ำตาเทียมเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้ดวงตาก็เป็นอีกวิธีที่ช่วยป้องกันได้ดีเช่นกัน

การนอนหลับที่เพียงพอ

การนอนหลับที่เพียงพอมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อสุขภาพดวงตา ในระหว่างการนอนหลับ ดวงตาจะได้พักและฟื้นฟูตัวเอง ช่วยลดความเมื่อยล้าและระคายเคือง ผู้ใหญ่ควรนอนหลับอย่างน้อย 7-8 ชั่วโมงต่อคืน เพื่อให้ดวงตาได้พักฟื้นอย่างเต็มที่ การนอนหลับไม่เพียงพอไม่เพียงแต่จะทำให้เกิดอาการตาล้าเท่านั้น แต่ยังอาจส่งผลให้เกิดถุงใต้ตา ตาบวม และปัญหาสุขภาพตาอื่น ๆ ตามมา ดังนั้น การรักษาคุณภาพการนอนและนอนให้เพียงพอจึงเป็นวิธีป้องกันอาการที่ไม่ควรมองข้าม

ดื่มน้ำให้เพียงพอ

เมื่อร่างกายขาดน้ำ การผลิตน้ำตาก็อาจลดลง ส่งผลให้เกิดอาการตาแห้งและระคายเคือง ควรดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 8 แก้ว หรือประมาณ 2 ลิตร เพื่อให้ร่างกายได้รับน้ำอย่างเพียงพอ นอกจากนี้ ควรหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนและแอลกอฮอล์ในปริมาณมาก เนื่องจากเครื่องดื่มเหล่านี้อาจทำให้ร่างกายสูญเสียน้ำและส่งผลให้เกิดอาการตาแห้งได้ง่ายขึ้น

สรุปบทความ

ตาล้าบรรเทาได้ด้วยการปรับพฤติกรรม

อาการตาล้าเป็นปัญหาที่พบได้บ่อยในชีวิตประจำวัน แต่สามารถป้องกันและบรรเทาได้ด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้สายตาและการดูแลสุขภาพตาอย่างถูกวิธี การพักสายตาเป็นระยะ การกะพริบตาบ่อย ๆ การนอนหลับที่เพียงพอ และการดื่มน้ำให้เพียงพอ สำหรับผู้ที่มีปัญหากล้ามเนื้อตาอ่อนแรงหรือมองหาคลินิกทำตาเพื่อแก้ตา สามารถปรึกษาจักษุแพทย์ผู้ชำนาญการของ Sky Clinic ซึ่งมีความเชี่ยวชาญด้านการ ทำตาสองชั้น เปิดหัวตา แก้ไขกล้ามเนื้อตาอ่อนแรง ซ่อนแผลใต้คิ้ว และกำจัดถุงไขมันใต้ตา เพื่อรับการรักษาที่เหมาะสมกับปัญหาของคุณ

ที่มา : -