อาการคันตาเป็นปัญหาที่สร้างความรำคาญใจให้ใครหลายคน และอาจเป็นสัญญาณของภาวะผิดปกติบางอย่างบริเวณดวงตา หลายคนอาจสงสัยว่าอาการคันตาเกิดจากอะไรและจะบรรเทาอาการนี้ได้อย่างไร บทความนี้เราจะพาทุกคนไปทำความเข้าใจถึงสาเหตุต่าง ๆ ที่ทำให้เกิดอาการคันตา รวมถึงวิธีดูแลตัวเองเบื้องต้นง่าย ๆ เพื่อช่วยให้อาการดีขึ้น พร้อมแนวทางการป้องกันและรักษาทางการแพทย์เมื่อจำเป็น
อาการคันตา คือ ความรู้สึกระคายเคืองบริเวณดวงตา จนทำให้เราอยากจะขยี้ตาอยู่บ่อย ๆ ซึ่งอาจเกิดขึ้นได้กับตาทั้งสองข้างหรือข้างใดข้างหนึ่งก็ได้ บางครั้งอาจมีอาการอื่น ๆ ร่วมด้วย โดยความรุนแรงของอาการคันตานั้นมีตั้งแต่ระดับเล็กน้อยไปจนถึงรุนแรงจนรบกวนชีวิตประจำวัน
อาการคันตาสามารถเกิดขึ้นได้จากหลากหลายปัจจัย ทั้งปัจจัยภายนอกและปัจจัยภายในร่างกายเอง การทำความเข้าใจว่าอาการคันตาเกิดจากอะไร จะช่วยให้เรารับมือและป้องกันได้อย่างถูกวิธี ซึ่งสาเหตุหลัก ๆ ที่ทำให้เกิดอาการคันตา ได้แก่
ภูมิแพ้เป็นสาเหตุยอดฮิตของอาการคันตา เมื่อดวงตาสัมผัสกับสารก่อภูมิแพ้ เช่น ไรฝุ่น เกสรดอกไม้ ขนสัตว์ หรือเชื้อรา ร่างกายจะหลั่งสารฮีสตามีนออกมา ทำให้เกิดอาการคัน แสบตา ตาแดง และน้ำตาไหล ซึ่งอาการมักจะเป็นทั้งสองข้างและอาจมีอาการอื่น ๆ ของภูมิแพ้ร่วมด้วย เช่น จาม คัดจมูก หรือมีผื่นขึ้นตามผิวหนัง การหลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้จึงเป็นสิ่งสำคัญ
ภาวะตาแห้งเกิดจากการที่ดวงตาผลิตน้ำตาไม่เพียงพอ หรือน้ำตาระเหยเร็วเกินไป ทำให้ดวงตาขาดความชุ่มชื้น จึงเกิดการระคายเคืองและคันตาได้ง่าย ส่วนอาการตาล้ามักเกิดจากการใช้สายตาเพ่งมองหน้าจอคอมพิวเตอร์หรือโทรศัพท์มือถือเป็นเวลานาน ส่งผลให้กล้ามเนื้อตาทำงานหนักและเกิดอาการตาแห้งตามมาได้เช่นกัน อาการเหล่านี้มักทำให้รู้สึกไม่สบายตา และอาจมีอาการอื่น ๆ เช่น แสบตา หรือตามัวร่วมด้วย
เยื่อบุตาอักเสบหรือที่เรียกกันว่า "ตาแดง" เกิดจากการติดเชื้อไวรัสหรือแบคทีเรีย หรืออาจเกิดจากภูมิแพ้ก็ได้ ทำให้เยื่อบุตาซึ่งเป็นเนื้อเยื่อบาง ๆ ที่คลุมด้านในของเปลือกตาและตาขาวเกิดการอักเสบ ส่งผลให้มีอาการคันตา ตาแดง แสบตา มีขี้ตามากผิดปกติ และน้ำตาไหล หากเกิดจากการติดเชื้อ ควรระมัดระวังการแพร่กระจายเชื้อไปยังผู้อื่นด้วย
การขยี้ตาแม้จะช่วยบรรเทาอาการคันได้ชั่วคราว แต่จริง ๆ แล้วกลับยิ่งทำให้อาการแย่ลง เพราะมือของเราอาจมีเชื้อโรคหรือสิ่งสกปรกติดอยู่ เมื่อขยี้ตาก็เท่ากับเป็นการนำสิ่งเหล่านั้นเข้าสู่ดวงตาโดยตรง นอกจากนี้ การขยี้ตาแรง ๆ ยังอาจทำให้กระจกตาเกิดรอยถลอกหรือเกิดการอักเสบเพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้มีอาการคันและระคายเคืองตารุนแรงกว่าเดิมได้
ขนตาทิ่มตาเป็นภาวะที่ขนตางอกผิดทิศทาง โดยม้วนเข้าด้านในไปเสียดสีกับกระจกตาหรือเยื่อบุตา ทำให้เกิดการระคายเคือง คันตา น้ำตาไหล รู้สึกเหมือนมีสิ่งแปลกปลอมอยู่ในตา และอาจทำให้ตาแดงได้ ปัญหานี้อาจเกิดจากความผิดปกติของเปลือกตา เช่น เปลือกตาม้วนเข้าใน หรืออาจเป็นผลมาจากอายุที่มากขึ้น หากปล่อยไว้นานอาจทำให้กระจกตาเป็นแผลได้
เปลือกตาอักเสบเป็นภาวะที่ขอบเปลือกตามีการอักเสบ ซึ่งอาจเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย ต่อมไขมันที่เปลือกตาทำงานผิดปกติ หรือเป็นโรคผิวหนังบางชนิด ทำให้มีอาการคันบริเวณขอบเปลือกตา แสบตา และตาแดง
การป้องกันย่อมดีกว่าการรักษาเสมอ เราสามารถลดความเสี่ยงในการเกิดอาการคันตาได้ด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและดูแลสุขอนามัยรอบดวงตาให้ดี ซึ่งจะช่วยลดโอกาสการสัมผัสกับปัจจัยกระตุ้นต่าง ๆ ที่อาจทำให้เกิดการระคายเคืองดวงตาได้
การสวมแว่นตาเมื่อต้องออกไปในบริเวณที่มีฝุ่นละออง ควัน หรือลมแรง จะช่วยป้องกันดวงตาจากการสัมผัสสิ่งระคายเคืองเหล่านี้โดยตรงได้ โดยเฉพาะแว่นกันแดดที่มีคุณสมบัติป้องกันรังสียูวี นอกจากจะช่วยลดอาการแสบตาจากแสงแดดแล้ว ยังเป็นเกราะป้องกันดวงตาจากมลภาวะต่าง ๆ ที่อาจทำให้เกิดอาการคันตาได้อีกด้วย
สำหรับผู้ที่ต้องทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์หรือใช้โทรศัพท์มือถือเป็นเวลานาน ควรพักสายตาเป็นระยะ โดยใช้หลักการ 20-20-20 คือ ทุก ๆ 20 นาที ให้ละสายตาจากหน้าจอแล้วมองออกไปไกล ๆ ประมาณ 20 ฟุต เป็นเวลา 20 วินาที การทำเช่นนี้จะช่วยลดอาการตาล้า ตาแห้ง ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของอาการคันตาได้
การดื่มน้ำให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายประมาณ 8-10 แก้วต่อวัน จะช่วยให้ร่างกายไม่ขาดน้ำ ซึ่งส่งผลดีต่อความชุ่มชื้นของดวงตาด้วย ช่วยลดโอกาสการเกิดภาวะตาแห้ง ซึ่งเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการคันและระคายเคืองตาได้ง่าย การรักษาความชุ่มชื้นของร่างกายโดยรวมจึงสำคัญต่อสุขภาพดวงตา
ควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวหน้า เครื่องสำอาง หรือผลิตภัณฑ์บำรุงรอบดวงตาที่อ่อนโยน ปราศจากน้ำหอมหรือสารที่อาจก่อให้เกิดการระคายเคืองได้ง่าย ก่อนใช้ผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ควรทดสอบกับบริเวณผิวบอบบางอื่น ๆ ก่อน เพื่อดูว่ามีอาการแพ้หรือไม่ การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมจะช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดอาการคันตาได้
มือของเราสัมผัสกับสิ่งต่าง ๆ มากมายในแต่ละวัน ซึ่งอาจมีเชื้อโรคหรือสิ่งสกปรกติดอยู่ การนำมือที่ไม่ได้ล้างมาสัมผัสหรือขยี้ตา จะเป็นการนำเชื้อโรคเข้าสู่ดวงตาโดยตรง ทำให้เกิดการติดเชื้อและอาการคันตาตามมาได้ ดังนั้น ควรล้างมือด้วยสบู่และน้ำสะอาดให้เป็นนิสัย โดยเฉพาะก่อนสัมผัสบริเวณใบหน้าและดวงตา
ปลอกหมอนและผ้าห่มเป็นแหล่งสะสมของไรฝุ่น ซึ่งเป็นสารก่อภูมิแพ้ที่พบบ่อยและเป็นสาเหตุของอาการคันตาได้ การซักทำความสะอาดเครื่องนอนเหล่านี้ด้วยน้ำร้อนอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง และตากแดดให้แห้งสนิท จะช่วยลดปริมาณไรฝุ่นลงได้ ทำให้ลดโอกาสการเกิดอาการแพ้และอาการคันตาที่เกิดจากไรฝุ่น
หากเราอาศัยอยู่ในบริเวณที่มีฝุ่นละอองหรือมลภาวะทางอากาศสูง หรือมีสมาชิกในบ้านเป็นโรคภูมิแพ้ การติดตั้งเครื่องฟอกอากาศภายในบ้านหรือห้องนอน สามารถช่วยกรองฝุ่นละออง สารก่อภูมิแพ้ และสิ่งปนเปื้อนต่างๆ ในอากาศได้ ทำให้ได้อากาศที่สะอาดขึ้น ลดการสัมผัสสิ่งกระตุ้นที่อาจทำให้เกิดอาการคันตา และปัญหาทางเดินหายใจอื่น ๆ
เมื่อเกิดอาการคันตาขึ้นมาแล้ว การดูแลตัวเองเบื้องต้นอย่างถูกวิธีจะช่วยบรรเทาอาการไม่ให้รุนแรงและลดความรู้สึกไม่สบายตาได้ อย่างไรก็ตาม หากอาการไม่ดีขึ้นหรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ ร่วมด้วย ควรปรึกษาจักษุแพทย์เพื่อหาสาเหตุที่แท้จริงและรับการรักษาที่เหมาะสมต่อไป
การประคบเย็นเป็นวิธีที่ง่ายและได้ผลดีในการลดอาการคันและบวมบริเวณดวงตา ความเย็นจะช่วยให้หลอดเลือดบริเวณนั้นหดตัว ลดการหลั่งสารฮีสตามีนที่ทำให้เกิดอาการแพ้และคัน ให้นำผ้าสะอาดชุบน้ำเย็นบิดหมาด หรือใช้เจลประคบเย็นสำเร็จรูป วางบนเปลือกตาที่ปิดสนิทประมาณ 5-10 นาที จะช่วยให้รู้สึกสบายตาขึ้น
น้ำเกลือ (Normal Saline Solution) สามารถใช้ล้างตาเพื่อชะล้างสิ่งสกปรก สารก่อภูมิแพ้ หรือสิ่งแปลกปลอมที่อาจเป็นสาเหตุของอาการคันตาออกไปได้ โดยน้ำเกลือมีความเข้มข้นใกล้เคียงกับน้ำในร่างกายจึงไม่ทำให้แสบตา ควรเลือกใช้น้ำเกลือชนิดที่ระบุว่าสำหรับใช้กับดวงตาโดยเฉพาะ และใช้ด้วยความระมัดระวังตามคำแนะนำ
แม้ว่าการขยี้ตาจะช่วยให้หายคันได้ชั่วขณะ แต่ก็เป็นการกระตุ้นให้ดวงตามีการอักเสบมากขึ้น และยังเสี่ยงต่อการนำเชื้อโรคเข้าสู่ดวงตาอีกด้วย พยายามอดทนและหลีกเลี่ยงการขยี้ตาโดยเด็ดขาด หากรู้สึกคันมาก ๆ ให้ลองใช้วิธีประคบเย็นหรือล้างตาด้วยน้ำเกลือแทน จะช่วยบรรเทาอาการได้ดีกว่า
หากอาการคันตาเกิดจากภาวะตาแห้ง การใช้น้ำตาเทียมจะช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ดวงตา ลดการเสียดสีและการระคายเคือง ทำให้รู้สึกสบายตาขึ้น ควรเลือกใช้น้ำตาเทียมชนิดที่ไม่มีสารกันบูด หากต้องหยอดตาบ่อย ๆ เพื่อลดโอกาสการเกิดการระคายเคืองจากสารกันบูด และปฏิบัติตามคำแนะนำในการใช้อย่างเคร่งครัด
หากเราใส่คอนแทคเลนส์แล้วมีอาการคันตา ควรหยุดใช้คอนแทคเลนส์ทันที แล้วเปลี่ยนมาใส่แว่นตาแทนชั่วคราวจนกว่าอาการจะดีขึ้น เพราะคอนแทคเลนส์อาจเป็นแหล่งสะสมของเชื้อโรคหรือสารก่อภูมิแพ้ หรืออาจทำให้ตาแห้งมากขึ้น นอกจากนี้ ควรตรวจสอบวันหมดอายุของคอนแทคเลนส์และน้ำยาล้างคอนแทคเลนส์ รวมถึงวิธีการดูแลรักษาความสะอาดที่ถูกต้อง
ในกรณีที่อาการคันตาเกิดจากภูมิแพ้ การรับประทานยาแก้แพ้กลุ่มต้านฮีสตามีน (Antihistamine) สามารถช่วยบรรเทาอาการคันตา น้ำมูกไหล หรืออาการอื่น ๆ ของภูมิแพ้ได้ อย่างไรก็ตาม ยาแก้แพ้บางชนิดอาจทำให้เกิดอาการง่วงซึม ควรปรึกษาเภสัชกรก่อนใช้ยาเสมอ และหากอาการไม่ดีขึ้นควรพบแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและรักษาที่เหมาะสม
หากอาการคันตาไม่ดีขึ้นหลังจากการดูแลตัวเองเบื้องต้น หรือมีอาการรุนแรง เช่น ตาแดงมาก ปวดตา ตามัว หรือมีขี้ตาเป็นหนอง ควรไปพบจักษุแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยหาสาเหตุที่แท้จริง แพทย์อาจสั่งยาหยอดตาที่มีส่วนผสมของยาต้านฮีสตามีน ยาสเตียรอยด์ หรือยาปฏิชีวนะ ขึ้นอยู่กับสาเหตุของโรค ในบางกรณี เช่น ปัญหาขนตาทิ่มตาที่ทำให้ระคายเคือง อาจจำเป็นต้องได้รับการรักษาด้วยการถอนขนตา หรือพิจารณาการแก้ตาหรือ ทำตาสองชั้นเพื่อแก้ไขโครงสร้างเปลือกตาและลดโอกาสการเกิดขนตาทิ่มซ้ำ
คันตาเกิดจากอะไร? อาการคันตาสามารถเกิดได้จากหลายสาเหตุ ตั้งแต่ภูมิแพ้ ตาแห้ง ไปจนถึงการติดเชื้อ หรือปัญหาโครงสร้างรอบดวงตา การป้องกันที่ดีควบคู่กับการดูแลตัวเองเบื้องต้นเมื่อมีอาการ จะช่วยให้อาการดีขึ้นได้ แต่หากอาการแย่ลงหรือเกิดจากปัญหาเปลือกตาม้วนเข้าด้านในจนทำให้ขนตาทิ่มตาควรปรึกษาจักษุแพทย์เพื่อแก้ปัญหา สำหรับผู้ที่กำลังหาคลินิกทำตาสามารถปรึกษาจักษุแพทย์ผู้ชำนาญการของ Sky Clinic ซึ่งมีความเชี่ยวชาญด้านการทำตาสองชั้น เปิดหัวตา แก้ไขกล้ามเนื้อตาอ่อนแรง ซ่อนแผลใต้คิ้ว และกำจัดถุงไขมันใต้ตา เพื่อรับการรักษาที่เหมาะสมกับปัญหาของแต่ละบุคคล