อาการมองเห็นจุดดำหรือเส้นใยลอยไปมา อาจเป็นสัญญาณของภาวะวุ้นในตาเสื่อม ซึ่งเป็นภาวะที่พบได้บ่อยเมื่ออายุมากขึ้น หลายคนอาจสงสัยว่าภาวะนี้คืออะไร มีอาการแสดงอย่างไรบ้าง และเมื่อเกิดขึ้นแล้วเราควรดูแลดวงตาอย่างไร รวมถึงมีข้อสงสัยว่าวุ้นในตาเสื่อมต้องกินอะไรเพื่อช่วยบำรุงสายตา บทความนี้จะพาเราไปทำความเข้าใจกับภาวะวุ้นในตาเสื่อมอย่างละเอียด เพื่อให้สามารถรับมือและดูแลดวงตาได้อย่างถูกวิธี
ภาวะวุ้นในตาเสื่อม (Vitreous Degeneration) คือ การเปลี่ยนแปลงสภาพของวุ้นตา ซึ่งเป็นสารคล้ายเจลใสที่อยู่ภายในลูกตาส่วนหลัง เมื่ออายุมากขึ้นวุ้นตาจะเริ่มเสื่อมสภาพและกลายเป็นของเหลวมากขึ้น ทำให้เกิดการหดตัวและแยกออกจากจอประสาทตาได้ ในบางกรณีอาจมีตะกอนหรือเส้นใยเล็ก ๆ เกิดขึ้นภายในวุ้นตา ทำให้เรามองเห็นเป็นจุดดำลอยไปมา ซึ่งภาวะนี้เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการเสื่อมตามวัยของร่างกาย
อาการของวุ้นในตาเสื่อมสามารถสังเกตได้จากความผิดปกติในการมองเห็น โดยอาการที่พบบ่อยมักไม่ก่อให้เกิดความเจ็บปวด แต่อาจรบกวนการมองเห็นในชีวิตประจำวันได้ สัญญาณเตือนที่สำคัญมีดังนี้
มองเห็นจุดดำเล็ก ๆ เส้นใย ลอยไปมาในตา โดยจะเห็นชัดขึ้นเมื่อมองไปยังพื้นหลังสีสว่าง เช่น ท้องฟ้า หรือผนังสีขาว
เห็นแสงวาบคล้ายฟ้าแลบหรือแสงแฟลชในตา ซึ่งเกิดจากการที่วุ้นตาดึงรั้งจอประสาทตา
เงาหรือม่านบังตาในบางส่วนของการมองเห็น ซึ่งอาจเป็นสัญญาณของภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงขึ้น
การมองเห็นที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างเฉียบพลัน
ความรุนแรงของภาวะวุ้นตาเสื่อมสามารถแบ่งออกได้เป็นระยะต่าง ๆ ขึ้นอยู่กับระดับการเปลี่ยนแปลงของวุ้นตาและการส่งผลกระทบต่อจอประสาทตา การทำความเข้าใจในแต่ละระยะจะช่วยให้เราตระหนักถึงความสำคัญของการตรวจสุขภาพตาเป็นประจำ
ในระยะเริ่มต้นของการเสื่อมสภาพ วุ้นตาจะเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างจากลักษณะคล้ายเจลเป็นของเหลวมากขึ้น อาจเริ่มมีการก่อตัวของตะกอนหรือเส้นใยเล็ก ๆ ภายในวุ้นตา ทำให้ผู้ที่มีภาวะนี้เริ่มสังเกตเห็นจุดดำหรือเส้นใยบาง ๆ ลอยไปมาบ้าง แต่โดยทั่วไปแล้วอาการจะยังไม่รุนแรงมากนัก และยังไม่ส่งผลกระทบต่อการมองเห็นในชีวิตประจำวันอย่างชัดเจน
เมื่อภาวะวุ้นในตาเสื่อมมากขึ้น วุ้นตาอาจหดตัวและแยกตัวออกจากจอประสาทตา (Posterior Vitreous Detachment - PVD) ในระยะนี้ อาการเห็นจุดดำลอยไปมาอาจชัดเจนขึ้น หรืออาจเห็นแสงวาบในตาได้เนื่องจากการดึงรั้งจอประสาทตา แม้ว่า PVD โดยส่วนใหญ่จะไม่เป็นอันตราย แต่ก็มีความเสี่ยงเล็กน้อยที่อาจทำให้เกิดการฉีกขาดของจอประสาทตาได้
แม้ว่าอายุที่เพิ่มขึ้นจะเป็นปัจจัยหลักของภาวะวุ้นในตาเสื่อม แต่ก็ยังมีปัจจัยอื่น ๆ ที่สามารถเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดภาวะนี้ได้เร็วขึ้นหรือรุนแรงมากขึ้น การทราบปัจจัยเสี่ยงเหล่านี้จะช่วยให้เราใส่ใจดูแลสุขภาพตาได้ดียิ่งขึ้น
อายุที่เพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะผู้ที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไป
ผู้ที่มีภาวะสายตาสั้นมาก
เคยได้รับการผ่าตัดตา เช่น ผ่าตัดต้อกระจก
เคยได้รับอุบัติเหตุบริเวณดวงตา
มีภาวะเบาหวานขึ้นตา
มีประวัติครอบครัวเป็นโรคเกี่ยวกับจอประสาทตา
โดยทั่วไปแล้วอาการเห็นจุดดำลอยไปมาอาจไม่จำเป็นต้องได้รับการรักษาหากไม่รบกวนการมองเห็นมากนัก อย่างไรก็ตาม หากเราสังเกตเห็นอาการเปลี่ยนแปลงอย่างเฉียบพลัน เช่น เห็นจุดดำเพิ่มขึ้นจำนวนมากอย่างรวดเร็ว เห็นแสงวาบถี่ขึ้น หรือมีเงาคล้ายม่านบังตา ควรรีบไปพบจักษุแพทย์ทันที เพราะอาจเป็นสัญญาณของภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง เช่น จอประสาทตาฉีกขาดหรือหลุดลอก ซึ่งจำเป็นต้องได้รับการรักษาอย่างเร่งด่วนเพื่อป้องกันการสูญเสียการมองเห็นถาวร
แม้ว่าวุ้นในตาเสื่อมจะเป็นภาวะที่เกิดขึ้นตามวัยและไม่สามารถป้องกันได้โดยตรง แต่เราสามารถดูแลสุขภาพตาโดยรวมเพื่อชะลอความเสื่อมและลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อนได้ ดังนี้
ตรวจสุขภาพตาเป็นประจำทุกปี โดยเฉพาะผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยง
สวมแว่นกันแดดเพื่อป้องกันรังสียูวีเมื่อต้องออกแดดเป็นเวลานาน
พักผ่อนสายตาเป็นระยะเมื่อต้องใช้สายตาต่อเนื่องเป็นเวลานาน เช่น การทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์
ควบคุมโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน ให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อดวงตา
การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพดวงตาเป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยบำรุงวุ้นตาและจอประสาทตา แม้ว่าจะไม่สามารถรักษาภาวะวุ้นในตาเสื่อมที่เกิดขึ้นแล้วได้โดยตรง แต่สารอาหารบางชนิดก็มีความสำคัญต่อการดูแลดวงตาโดยรวม ซึ่งวุ้นในตาเสื่อมต้องกินอะไรนั้นมีคำแนะนำ ดังนี้
อาหารที่อุดมไปด้วยวิตามินซี เช่น ผลไม้ตระกูลส้ม ฝรั่ง สตรอว์เบอร์รี
อาหารที่มีวิตามินอีสูง เช่น อัลมอนด์ เมล็ดทานตะวัน
ผักใบเขียวเข้ม เช่น ผักโขม คะน้า ซึ่งมีลูทีนและซีแซนทีน
ปลาทะเลน้ำลึก เช่น แซลมอน ทูน่า ซึ่งมีกรดไขมันโอเมก้า 3
ผลไม้ตระกูลเบอร์รี ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง
ในกรณีส่วนใหญ่ภาวะวุ้นในตาเสื่อมที่ไม่มีภาวะแทรกซ้อนมักไม่จำเป็นต้องได้รับการรักษา อาการเห็นจุดดำลอยไปมามักจะค่อย ๆ ลดความชัดลงเมื่อเวลาผ่านไป หรือสมองเรียนรู้ที่จะปรับตัว อย่างไรก็ตาม หากมีภาวะแทรกซ้อนเกิดขึ้น การรักษาจะขึ้นอยู่กับความรุนแรง
การติดตามอาการ หากอาการไม่รุนแรงและไม่ส่งผลกระทบต่อการมองเห็นมากนัก แพทย์อาจแนะนำให้สังเกตอาการต่อไป
การผ่าตัดวุ้นตา (Vitrectomy) ในกรณีที่อาการรุนแรงมากจนบดบังการมองเห็นหรือมีภาวะแทรกซ้อน เช่น จอประสาทตาฉีกขาดหรือหลุดลอก แพทย์อาจพิจารณาการผ่าตัดเพื่อนำวุ้นตาที่เสื่อมสภาพออก
การเลเซอร์ หากตรวจพบรอยฉีกขาดของจอประสาทตา แพทย์อาจใช้เลเซอร์เพื่อยิงรอบรอยฉีกขาด ป้องกันไม่ให้เกิดการหลุดลอกของจอประสาทตา
ภาวะวุ้นในตาเสื่อมเป็นการเปลี่ยนแปลงตามวัยที่พบได้บ่อย โดยมีอาการหลักคือการมองเห็นจุดดำหรือเส้นใยลอยไปมา การตระหนักถึงอาการ สัญญาณเตือน และปัจจัยเสี่ยงเป็นสิ่งสำคัญ แม้ว่าโดยทั่วไปจะไม่เป็นอันตราย แต่หากมีอาการเปลี่ยนแปลงเฉียบพลันควรปรึกษาจักษุแพทย์ทันที แต่สำหรับผู้ที่กำลังมองหาคลินิกทำตาเพื่อแก้ปัญหาตาด้านอื่น ๆ สามารถปรึกษาจักษุแพทย์ผู้ชำนาญการของ Sky Clinic ซึ่งมีความเชี่ยวชาญด้านการแก้ตา การทำตาสองชั้น เปิดหัวตา แก้ไขกล้ามเนื้อตาอ่อนแรง ซ่อนแผลใต้คิ้ว และกำจัดถุงไขมันใต้ตา เพื่อรับการรักษาที่เหมาะสมกับปัญหาของแต่ละบุคคล