ตากระตุกบอกโรคร้ายจริงไหม รู้ทันสัญญาณสุขภาพจากดวงตา
icon  icon
ตากระตุกสัญญาณเตือนโรคร้าย

เช็กให้ชัวร์ ตากระตุกบ่อยผิดปกติ อาจเป็นโรคร้ายที่แอบซ่อนอยู่

อาการตากระตุกเป็นสิ่งที่หลายคนเคยเจอ ซึ่งบางครั้งก็หายไปเอง แต่หากเกิดขึ้นบ่อยหรือเป็นเวลานาน ซึ่งไม่ได้เป็นลักษณะตาบอกนิสัยแต่เป็นอาการที่อาจซ่อนความผิดปกติของร่างกายไว้ ทำไมเราถึงมีอาการตากระตุก และจะสังเกตได้อย่างไรว่าอาการเหล่านี้กำลังบ่งบอกถึงปัญหาสุขภาพที่ควรได้รับการรักษา มาทำความเข้าใจสัญญาณเตือนจากดวงตาของเราให้มากขึ้น

ตากระตุกคืออะไร

ตากระตุกเป็นอาการที่กล้ามเนื้อรอบดวงตาหดตัวโดยที่เราไม่สามารถควบคุมได้ มักเกิดที่เปลือกตาบนหรือล่าง และบางครั้งอาจเกิดพร้อมกันทั้งสองข้าง โดยทั่วไปอาการตากระตุกมักเป็นไม่นาน อาจเพียงไม่กี่วินาทีหรือนาที แต่บางคนอาจมีอาการต่อเนื่องเป็นชั่วโมงหรือวัน ตากระตุกส่วนใหญ่ไม่ใช่อาการร้ายแรง แต่หากเกิดขึ้นบ่อยหรือมีอาการที่รุนแรง อาจเป็นสัญญาณของโรคที่เกี่ยวข้องกับระบบประสาทหรือกล้ามเนื้อ เราจึงไม่ควรละเลยหากมีอาการตากระตุกที่ผิดปกติ

สาเหตุที่ตากระตุกมีอะไรบ้าง

ตากระตุกเกิดได้จากหลายปัจจัย โดยส่วนใหญ่มักเกี่ยวข้องกับสภาพแวดล้อมและไลฟ์สไตล์ในชีวิตประจำวัน แต่บางกรณีก็อาจเกิดจากความผิดปกติทางระบบประสาทหรือการทำงานของกล้ามเนื้อ สาเหตุที่พบบ่อยมีดังนี้

  • ความเครียดและความวิตกกังวล

  • พักผ่อนไม่เพียงพอหรือนอนไม่หลับ

  • ดื่มคาเฟอีนมากเกินไป เช่น กาแฟ ชา หรือเครื่องดื่มชูกำลัง

  • ใช้สายตามากเกินไป โดยเฉพาะการจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์หรือมือถือเป็นเวลานาน

  • ดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป

  • ร่างกายขาดแร่ธาตุที่สำคัญ เช่น แมกนีเซียม

  • ระคายเคืองดวงตาจากสารเคมีหรือมลภาวะ

  • ภาวะตาแห้ง

  • ผลข้างเคียงจากยาบางชนิด

  • สภาพอากาศเย็นหรือลมแรง

ตากระตุกบอกโรคร้ายอะไรได้บ้าง

แม้ว่าอาการตากระตุกส่วนใหญ่มักไม่ใช่เรื่องน่ากังวล แต่ในบางกรณีอาจเป็นสัญญาณของโรคร้ายแรงที่แอบซ่อนอยู่ โดยเฉพาะเมื่อมีอาการตากระตุกที่รุนแรง ต่อเนื่องเป็นเวลานาน หรือเกิดร่วมกับความผิดปกติอื่นๆ เราควรให้ความสนใจเป็นพิเศษหากอาการตากระตุกเกิดขึ้นพร้อมกับอาการชา กล้ามเนื้ออ่อนแรง ปวดศีรษะรุนแรง หรือมีการเปลี่ยนแปลงของใบหน้า

โรคอัมพาตใบหน้า (Bell's Palsy)

โรคอัมพาตใบหน้าเป็นภาวะที่เกิดจากการอักเสบหรือบาดเจ็บของเส้นประสาทที่ควบคุมกล้ามเนื้อใบหน้า ทำให้เกิดอาการกล้ามเนื้อใบหน้าอ่อนแรงหรือเป็นอัมพาตชั่วคราวบริเวณใบหน้าครึ่งซีก อาการเริ่มต้นของโรคนี้อาจสังเกตได้จากตากระตุกหรือการกระตุกบริเวณใบหน้า ตามด้วยความยากลำบากในการปิดตา ร่วมกับอาการชาบริเวณใบหน้า มุมปากตก และมีปัญหาในการแสดงสีหน้า โรคนี้มักเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วภายในไม่กี่ชั่วโมงหรือไม่กี่วัน และมักพบในผู้ที่มีอายุระหว่าง 15-60 ปี 

โรคกล้ามเนื้อบิดเกร็ง (Dystonia)

โรคกล้ามเนื้อบิดเกร็ง

โรคกล้ามเนื้อบิดเกร็งเป็นความผิดปกติของการเคลื่อนไหวที่ทำให้กล้ามเนื้อหดเกร็งหรือบิดตัวโดยที่เราไม่สามารถควบคุมได้ เมื่อเกิดขึ้นที่บริเวณดวงตาและใบหน้า จะเรียกว่า "Blepharospasm" ซึ่งทำให้เกิดอาการตากระตุกรุนแรงและไม่สามารถควบคุมการกะพริบตาได้ บางครั้งอาจรุนแรงถึงขั้นทำให้ลืมตาไม่ขึ้นชั่วขณะ ส่งผลกระทบต่อการมองเห็นและการใช้ชีวิตประจำวัน ในระยะแรกอาจมีเพียงอาการตากระตุกเล็กน้อยหรือไวต่อแสงมากผิดปกติ แต่อาการจะค่อย ๆ รุนแรงขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป โรคนี้พบบ่อยในผู้หญิงมากกว่าผู้ชายและมักเริ่มแสดงอาการในวัยกลางคน

โรคกล้ามเนื้อช่องปากหรือขากรรไกรบิดเกร็ง (Oromandibular Dystonia)

โรคกล้ามเนื้อช่องปากหรือขากรรไกรบิดเกร็งเป็นภาวะที่กล้ามเนื้อบริเวณปาก คาง และลิ้นเกิดการหดเกร็งโดยไม่สามารถควบคุมได้ มักพบร่วมกับอาการตากระตุกเป็นระยะ ผู้ที่มีอาการอาจมีปัญหาในการพูด การเคี้ยวอาหาร การกลืน และการเคลื่อนไหวของขากรรไกร บางครั้งอาจมีอาการปากบิดเบี้ยว ลิ้นยื่น หรือคางยกสูงขึ้นโดยไม่ตั้งใจ โรคนี้มักเริ่มแสดงอาการในช่วงอายุ 40-70 ปี และมักส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตอย่างมาก เนื่องจากทำให้รู้สึกอึดอัดในการเข้าสังคมและมีความยากลำบากในการรับประทานอาหาร ซึ่งอาจนำไปสู่ภาวะขาดสารอาหารและน้ำหนักลดได้

โรคทูเร็ตต์ (Tourette's Disorder)

โรคทูเร็ตต์เป็นความผิดปกติทางระบบประสาทที่ทำให้เกิดอาการกระตุกหรือแสดงท่าทางซ้ำ ๆ โดยไม่สามารถควบคุมได้ โดยอาการตากระตุกเป็นหนึ่งในอาการที่พบได้บ่อยในผู้ที่เป็นโรคนี้ นอกจากนี้ ยังอาจมีอาการอื่น ๆ เช่น การกะพริบตาถี่ การเม้มปาก การสั่นศีรษะ หรือการเคลื่อนไหวแขนขาโดยควบคุมไม่ได้ บางรายอาจมีอาการทางเสียงร่วมด้วย เช่น การส่งเสียงแปลกๆ หรือพูดคำหยาบซ้ำ ๆ โรคทูเร็ตต์มักเริ่มแสดงอาการในวัยเด็ก โดยทั่วไประหว่างอายุ 2-15 ปี และพบในเพศชายมากกว่าเพศหญิง 

โรคปลอกประสาทเสื่อมแข็ง (Multiple Sclerosis)

โรคปลอกประสาทเสื่อมแข็งเป็นโรคเรื้อรังที่ส่งผลกระทบต่อระบบประสาทส่วนกลาง ทำให้การสื่อสารระหว่างสมองและส่วนต่าง ๆ ของร่างกายเกิดความผิดปกติ อาการตากระตุกอาจเป็นหนึ่งในอาการเริ่มต้นของโรคนี้ โดยเฉพาะเมื่อเกิดร่วมกับอาการผิดปกติทางตาอื่นๆ เช่น ตาพร่ามัว มองเห็นภาพซ้อน หรือปวดตาเมื่อกลอกตา นอกจากนี้ผู้ป่วยอาจมีอาการชา อ่อนแรง สูญเสียการทรงตัว หรือมีปัญหาเกี่ยวกับการขับถ่าย โรคนี้มักเกิดในช่วงอายุ 20-40 ปี และพบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย การวินิจฉัยและการรักษาตั้งแต่ระยะเริ่มต้นสามารถช่วยชะลออาการและป้องกันความพิการได้

การป้องกันตากระตุก

การป้องกันอาการตากระตุกที่ไม่ได้เกิดจากโรคร้ายแรงสามารถทำได้โดยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและดูแลสุขภาพทั่วไป จะช่วยลดความเสี่ยงและความถี่ของอาการตากระตุกได้อย่างมีประสิทธิภาพ สิ่งที่เราควรปฏิบัติมีดังนี้

  • พักผ่อนให้เพียงพอ ควรนอนหลับอย่างน้อย 7-8 ชั่วโมงต่อคืน

  • ลดความเครียดด้วยวิธีการต่าง ๆ เช่น การทำสมาธิ โยคะ หรือการหายใจลึก ๆ

  • หลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนมากเกินไป

  • ลดการบริโภคแอลกอฮอล์

  • ดื่มน้ำให้เพียงพอ อย่างน้อยวันละ 8 แก้ว

  • พักสายตาเป็นระยะเมื่อต้องใช้คอมพิวเตอร์หรือมือถือเป็นเวลานาน โดยยึดหลัก 20-20-20 (ทุก 20 นาที ให้มองวัตถุที่อยู่ห่างออกไป 20 ฟุต เป็นเวลา 20 วินาที)

  • สวมแว่นกันแดดเมื่อออกไปข้างนอกเพื่อป้องกันดวงตาจากแสงแดดที่จ้า

  • รับประทานอาหารที่มีแร่ธาตุครบถ้วน โดยเฉพาะอาหารที่มีแมกนีเซียมสูง เช่น ถั่ว เมล็ดพืช ผักใบเขียว

  • หลีกเลี่ยงการขยี้ตาหรือถูตาแรง ๆ

  • ใช้หยดน้ำตาเทียมหากมีอาการตาแห้ง

การดูแลรักษาอาการตากระตุก

การรักษาอาการตากระตุกขึ้นอยู่กับสาเหตุและความรุนแรงของอาการ สำหรับตากระตุกเล็กน้อยที่เกิดจากความเครียดหรือปัจจัยภายนอก อาการมักหายไปเองภายในไม่กี่วัน แต่หากมีอาการตากระตุกเป็นเวลานานหรือรุนแรง ควรปรึกษาแพทย์เพื่อหาสาเหตุและรับการรักษาที่เหมาะสม การรักษาหลัก ๆ แบ่งเป็นการให้ยารับประทานและการใช้โบท็อกซ์

การให้ยารับประทาน

การรักษาด้วยยาเป็นหนึ่งในวิธีที่แพทย์นำมาใช้ในการบรรเทาอาการตากระตุกที่เกิดจากความผิดปกติของระบบประสาทหรือกล้ามเนื้อ การกินยาจะช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อและระงับอาการกระตุก นอกจากนี้ ยังมียาที่ช่วยควบคุมการส่งสัญญาณประสาทที่ผิดปกติ บางกรณีแพทย์อาจพิจารณาให้ยากลุ่มที่ช่วยปรับสมดุลของสารสื่อประสาทในสมอง อย่างไรก็ตาม การใช้ยาเหล่านี้ต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด เนื่องจากอาจมีผลข้างเคียง เช่น ง่วงนอน เวียนศีรษะ หรือมึนงง

Botox

การรักษาด้วย Botox (โบทูลินัม ท็อกซิน) เป็นทางเลือกที่มีประสิทธิภาพสูงในการรักษาอาการตากระตุกที่เกิดจากโรคกล้ามเนื้อบิดเกร็ง โดยเฉพาะในรายที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยยา โบท็อกซ์ทำงานโดยการยับยั้งการหลั่งสารสื่อประสาทที่กระตุ้นการหดตัวของกล้ามเนื้อ ทำให้กล้ามเนื้อบริเวณที่ฉีดเกิดการผ่อนคลายและลดอาการกระตุก แพทย์จะฉีดโบท็อกซ์เข้าสู่กล้ามเนื้อเปลือกตาหรือบริเวณใบหน้าที่มีอาการ โดยใช้เข็มขนาดเล็กและปริมาณยาที่น้อยมาก ผลการรักษามักเริ่มเห็นผลภายใน 1-3 วัน และมีผลนาน 3-6 เดือน หลังจากนั้นจึงต้องฉีดซ้ำเพื่อคงผลการรักษา

สรุปบทความ

ตากระตุกหต่อเนื่องอาจเป็นสัญญาณของโรคร้าย

ตากระตุกเป็นอาการที่พบได้บ่อยและส่วนใหญ่ไม่ใช่เรื่องน่ากังวล แต่หากมีอาการต่อเนื่องเป็นเวลานานหรือมีอาการอื่น ๆ ร่วมด้วย อาจเป็นสัญญาณของโรคร้ายแรงที่แอบซ่อนอยู่ การสังเกตอาการและรู้จักวิธีป้องกันดูแลตนเองเบื้องต้น จะช่วยให้เราจัดการกับอาการตากระตุกได้อย่างเหมาะสม แต่สำหรับผู้ที่ใช้กล้ามเนื้อตาหนักเดินไปจนต้องมองคลินิกทำตาเพื่อแก้ตาให้ใช้งานได้ดีขึ้น สามารถปรึกษาจักษุแพทย์ผู้ชำนาญการของ Sky Clinic ซึ่งมีความเชี่ยวชาญด้านการทำตาสองชั้น ตาสองชั้นพร้อมเปิดหัวตา กล้ามเนื้อตาอ่อนแรง ซ่อนแผลใต้คิ้ว และกำจัดถุงไขมันใต้ตา เพื่อรับการรักษาที่เหมาะสมกับปัญหาของคุณ

ที่มา : -