ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตากี่วันเห็นผล? กี่วันข้าที่ พร้อมคำแนะนำหลังฉีด
icon  icon
ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา

ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตากี่วันเห็นผล? พร้อมวิธีดูแลให้เข้าที่เร็วขึ้น

ปัญหาใต้ตาคล้ำ โทรม จากภาวะถุงใต้ตาบวมหรือร่องลึก ทำให้ใบหน้าดูอ่อนล้า เป็นสิ่งที่หลายคนกังวลใจ การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาจึงเป็นทางเลือกที่ได้รับความนิยม แต่คำถามสำคัญที่หลายคนอยากรู้คือฉีดฟิลเลอร์ใต้ตากี่วันเห็นผลและต้องดูแลตัวเองอย่างไรให้ฟิลเลอร์เข้าที่เร็วที่สุด บทความนี้ มีคำตอบให้ครบทุกประเด็นเพื่อให้เราเข้าใจกระบวนการและเตรียมตัวได้อย่างถูกต้อง


ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตากี่วันเห็นผล

โดยทั่วไปแล้วหลังฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาจะสามารถเห็นการเปลี่ยนแปลงได้ทันทีประมาณ 70-80% โดยจะสังเกตได้ว่าร่องลึกดูตื้นขึ้นและผิวดูเต็มอิ่มขึ้น หลังจากนั้นสารเติมเต็มจะค่อย ๆ ผสานเข้ากับเนื้อเยื่อและอุ้มน้ำได้ดีขึ้น ซึ่งคำถามที่ว่าฟิลเลอร์ใต้ตากี่วันเห็นผลนั้นจะใช้เวลาประมาณ 2-4 สัปดาห์ โดยผิวบริเวณนั้นจะดูเรียบเนียนและเป็นธรรมชาติมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด


หลังฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาจะมีอาการบวมกี่วัน

อาการบวมเล็กน้อยหลังการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาเป็นเรื่องปกติที่สามารถเกิดขึ้นได้ ซึ่งเป็นปฏิกิริยาของร่างกาย โดยส่วนใหญ่อาการบวมจะเกิดขึ้นในช่วง 1-3 วันแรก และจะค่อย ๆ ยุบลงจนกลับสู่ภาวะปกติภายในระยะเวลาเฉลี่ย 3-7 วัน ทั้งนี้ ระยะเวลาอาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล ขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายและการดูแลตัวเองหลังทำหัตถการ ซึ่งอาการบวมเหล่านี้สามารถหายไปได้เองโดยไม่จำเป็นต้องกังวล


ปัจจัยที่ส่งผลต่ออาการบวม

แม้ว่าอาการบวมจะเป็นเรื่องปกติ แต่ระดับความบวมและระยะเวลาที่ใช้ในการฟื้นตัวอาจไม่เท่ากันในทุกคน เนื่องจากมีปัจจัยหลายอย่างเข้ามาเกี่ยวข้อง ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อปฏิกิริยาของร่างกาย การทำความเข้าใจปัจจัยเหล่านี้จะช่วยให้เราเตรียมตัวและดูแลตัวเองได้ดียิ่งขึ้น

  • เทคนิคและประสบการณ์ของแพทย์ ความชำนาญของแพทย์ในการเลือกตำแหน่งและปริมาณการฉีดที่แม่นยำ จะช่วยลดการกระทบกระเทือนของเนื้อเยื่อและลดอาการบวมช้ำได้
  • ชนิดและคุณสมบัติของฟิลเลอร์ ฟิลเลอร์แต่ละรุ่นมีขนาดโมเลกุลและความสามารถในการอุ้มน้ำต่างกัน ซึ่งอาจส่งผลต่อระดับอาการบวมในช่วงแรกได้
  • สภาพร่างกายของแต่ละบุคคล ผู้ที่มีผิวบอบบางหรือมีแนวโน้มที่จะเกิดรอยช้ำได้ง่าย อาจมีอาการบวมนานกว่าปกติ
  • การดูแลตัวเองหลังฉีด การปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัดเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้อาการบวมยุบลงได้เร็วขึ้น


ข้อห้ามและการดูแลตัวเองหลังฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา

ข้อห้ามและการดูแลตัวเอง

เพื่อให้ฟิลเลอร์ใต้ตาเข้าที่อย่างสวยงาม การปฏิบัติตามข้อห้ามและคำแนะนำในการดูแลตัวเองอย่างเคร่งครัดถือเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในช่วงแรกหลังการฉีด โดยสามารถมีข้อห้ามและการดูแลตัวเองที่คสรทำ ดังนี้ 


ข้อห้ามหลังฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา

ในช่วงแรกหลังการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ผิวบริเวณใต้ตาจะยังคงบอบบางและต้องการเวลาในการปรับตัว เพื่อป้องกันไม่ให้ฟิลเลอร์เคลื่อนที่ผิดตำแหน่ง ลดอาการบวมช้ำ และหลีกเลี่ยงการติดเชื้อ จึงมีข้อควรปฏิบัติที่ต้องหลีกเลี่ยงอย่างเคร่งครัด ดังนี้

  • งดการสัมผัส กด หรือนวดบริเวณใต้ตา เพื่อป้องกันไม่ให้ฟิลเลอร์ที่ฉีดเข้าไปเคลื่อนที่หรือเสียรูปทรง ควรหลีกเลี่ยงการกระทำรุนแรงต่อผิวในบริเวณดังกล่าว
  • หลีกเลี่ยงความร้อนและแสงแดดจัด โดยควรงดกิจกรรมที่ต้องเผชิญกับความร้อนสูง เช่น การซาวน่า สตรีม หรือการออกแดดจัด ภายใน 48 ชั่วโมงแรก เพราะอาจกระตุ้นให้เกิดอาการบวมเพิ่มขึ้นได้
  • งดใช้สกินแคร์ที่มีส่วนผสมรุนแรงและงดแต่งหน้า ควรพักผิวบริเวณใต้ตา งดการแต่งหน้าและหลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ผลัดเซลล์ผิว เช่น AHA, BHA หรือวิตามินซี ใน 24 ชั่วโมงแรก
  • งดรับประทานยาและวิตามินที่ส่งผลต่อการแข็งตัวของเลือด ควรหยุดยา เช่น แอสไพริน, ไอบูโพรเฟน รวมถึงวิตามินอีและน้ำมันปลา อย่างน้อย 1 สัปดาห์ เพื่อลดความเสี่ยงของอาการช้ำ
  • งดดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่ ควรงดอย่างน้อย 14 วัน เนื่องจากส่งผลต่อการขยายตัวของหลอดเลือด อาจทำให้อาการบวมหายช้าลงและส่งผลต่อการเซตตัวของฟิลเลอร์


การดูแลตัวเองหลังฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา

นอกเหนือจากข้อห้ามแล้ว การดูแลตัวเองอย่างถูกวิธียังเป็นหัวใจสำคัญที่ช่วยให้ฟิลเลอร์เข้าที่ได้เร็วขึ้น ลดอาการบวม และส่งเสริมให้ผลลัพธ์ออกมาสวยงามเป็นธรรมชาติ การปฏิบัติตามคำแนะนำง่าย ๆ เหล่านี้จะช่วยให้เราผ่านช่วงฟื้นตัวไปได้อย่างราบรื่น

  • การนอน ในช่วง 2-3 คืนแรก ควรนอนหงายและหนุนหมอนให้ศีรษะสูงกว่าระดับหน้าอก เพื่อช่วยลดการสะสมของของเหลวและทำให้อาการบวมยุบเร็วขึ้น
  • การดื่มน้ำ ในปริมาณที่เพียงพอ โดยเฉพาะในช่วง 4-5 วันแรก จะช่วยให้ฟิลเลอร์ซึ่งมีส่วนประกอบของ Hyaluronic Acid อุ้มน้ำได้ดีขึ้น ทำให้ฟูสวยและอยู่ได้นานขึ้น
  • การรับประทานยา หากมีอาการปวดเล็กน้อยในบริเวณที่ฉีด สามารถรับประทานยาแก้ปวดพาราเซตามอลได้ตามคำแนะนำของแพทย์


ฟิลเลอร์ใต้ตาอยู่ได้นานแค่ไหน

ระยะเวลาของผลลัพธ์หลังการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตานั้นจะแตกต่างกันไป โดยทั่วไปจะคงอยู่ได้ประมาณ 6-24 เดือน ปัจจัยหลักที่กำหนดระยะเวลาคือชนิดและรุ่นของฟิลเลอร์ที่เลือกใช้ ซึ่งแต่ละรุ่นจะมีคุณสมบัติการอุ้มน้ำ ความยืดหยุ่น และอัตราการสลายตัวไม่เท่ากัน นอกจากนี้ การดูแลตัวเองและไลฟ์สไตล์ของแต่ละบุคคลก็เป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่ออายุของฟิลเลอร์เช่นกัน


สนใจปรึกษาจักษุแพทย์ผู้ชำนาญ


สาเหตุที่ทำให้ฟิลเลอร์ใต้ตาสลายเร็ว

หลายครั้งที่พบว่าฟิลเลอร์สลายตัวก่อนเวลาอันควร ซึ่งอาจเกิดจากปัจจัยทั้งภายในและภายนอกร่างกาย การทราบถึงสาเหตุเหล่านี้จะช่วยให้เรารู้จักวิธีหลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่อาจส่งผลกระทบต่ออายุของฟิลเลอร์ และดูแลให้ผลลัพธ์คงอยู่กับเราได้ยาวนานที่สุด

  • การเผชิญความร้อนบ่อยครั้ง การทำเลเซอร์ ซาวน่า หรือกิจกรรมที่ทำให้ผิวบริเวณใบหน้าสัมผัสกับความร้อนสูงเป็นประจำ จะเร่งกระบวนการสลายของฟิลเลอร์
  • อัตราการเผาผลาญของร่างกาย ผู้ที่มีระบบเผาผลาญสูง อาจทำให้ร่างกายสลายสารเติมเต็มได้เร็วกว่าคนทั่วไป
  • การออกกำลังกายอย่างหนัก การออกกำลังกายที่เน้นคาร์ดิโออย่างหนักเป็นประจำ อาจส่งผลต่ออายุของฟิลเลอร์ได้
  • การดูแลตัวเองไม่เพียงพอ การไม่ปฏิบัติตามคำแนะนำหลังฉีด เช่น การดื่มแอลกอฮอล์หรือสูบบุหรี่ ก็เป็นปัจจัยที่ทำให้ฟิลเลอร์สลายเร็วขึ้น


วิธีเลือกคลินิกฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาให้ปลอดภัย

การเลือกคลินิกสำหรับฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม ควรเลือกสถานพยาบาลที่ได้มาตรฐานและน่าเชื่อถือ แพทย์ผู้ทำหัตถการควรเป็นผู้ที่มีความชำนาญสูง โดยเฉพาะจักษุแพทย์จะมีความเข้าใจในโครงสร้างรอบดวงตาเป็นอย่างดี คลินิกต้องใช้ฟิลเลอร์ของแท้ที่ผ่าน อย. ซึ่งสามารถตรวจสอบได้ เพื่อให้มั่นใจในความปลอดภัยและผลลัพธ์ที่สวยงาม


สรุปบทความ

ผลลัพธ์การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา

การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาเห็นผลลัพธ์เบื้องต้นทันทีและจะเข้าที่เต็มที่ใน 2-4 สัปดาห์ ซึ่งคำถามที่ว่าฉีดฟิลเลอร์ใต้ตากี่วันเข้าที่นั้นขึ้นอยู่กับการดูแลและสภาพร่างกายของแต่ละบุคคล การปฏิบัติตามคำแนะนำจะช่วยลดอาการบวมและทำให้ผลลัพธ์คงอยู่ได้นานขึ้น สำหรับผู้ที่สนใจแก้ปัญหารอบดวงตาอย่างตรงจุด สามารถปรึกษาจักษุแพทย์ผู้ชำนาญการของ Sky Clinic ซึ่งมีความเชี่ยวชาญการในการแก้ตาสามชั้นแบบธรรมชาติ การผ่าตัดหนังตาตก และการกำจัดไขมันด้วยวิธีตัดถุงใต้ตาหรือผ่าถุงใต้ตา เพื่อรับการประเมินและรักษาที่เหมาะสมกับปัญหาของเราต่อไป

ที่มา : -