มาสก์ใต้ตาเป็นตัวเลือกที่หลายคนนำมาใช้ฟื้นฟูผิวบริเวณรอบดวงตา เนื่องจากผิวใต้ตาเป็นจุดบอบบางที่สุดบนใบหน้า ผิวที่บางจะมีความไวต่อการเกิดริ้วรอย ถุงใต้ตา และรอยคล้ำได้ง่าย วันนี้เราจะมาดูกันว่าประโยชน์มาสก์ใต้ตาช่วยแก้ปัญหาใต้ตาอะไรได้บ้าง และเลือกใช้อย่างไรให้เหมาะกับปัญหาผิวของเรากัน
มาสก์ใต้ตาถูกออกแบบมาเพื่อแก้ไขปัญหาเฉพาะจุดบริเวณใต้ตา โดยมาสก์แต่ละตัวก็จะมีส่วนผสมที่แตกต่างกัน และสามารถช่วยแก้ไขปัญหาใต้ตาได้แตกต่างกันด้วย ซึ่งส่วนผสมไหนจะช่วยแก้ไขปัญหาผิวรอบตาอะไรได้บ้างไปดูกัน
มาสก์มีส่วนผสมของวิตามินซี วิตามินเค และสารสกัดจากชาเขียวมีคุณสมบัติในการลดเลือนรอยคล้ำใต้ตาได้อย่างมีประสิทธิภาพ วิตามินซีช่วยยับยั้งการสร้างเม็ดสีเมลานิน ในขณะที่วิตามินเคช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดบริเวณรอบดวงตา ทำให้รอยคล้ำที่เกิดจากหลอดเลือดใต้ผิวหนังจางลง นอกจากนี้ สารต้านอนุมูลอิสระจากชาเขียวยังช่วยปกป้องผิวจากความเสียหายที่เกิดจากแสงแดดซึ่งเป็นสาเหตุของรอยคล้ำและความหมองคล้ำของผิวบริเวณใต้ตา
สำหรับปัญหาตาบวมและถุงใต้ตาบวม มาสก์ที่มีส่วนผสมของคาเฟอีน แตงกวา หรือสารสกัดจากชาเขียวจะช่วยลดอาการบวมน้ำใต้ตาได้อย่างมีประสิทธิภาพ คาเฟอีนช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดและช่วยระบายของเหลวที่สะสมอยู่ใต้ตา แตงกวามีฤทธิ์ในการลดการอักเสบและให้ความเย็นซึ่งช่วยบรรเทาอาการบวม โดยเฉพาะเมื่อแช่มาสก์ในตู้เย็นก่อนใช้จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการลดอาการบวมได้ดียิ่งขึ้น
ผิวรอบดวงตาเป็นบริเวณที่มีต่อมไขมันน้อยที่สุดบนใบหน้า จึงขาดความชุ่มชื้นได้ง่าย มาสก์ที่มีส่วนผสมของกรดไฮยาลูโรนิก กลีเซอรีน และเซราไมด์จะช่วยเติมความชุ่มชื้นให้กับผิวรอบดวงตาได้อย่างล้ำลึก กรดไฮยาลูโรนิกสามารถอุ้มน้ำได้มากถึง 1,000 เท่าของน้ำหนักตัวเอง ช่วยให้ผิวเต่งตึงและลดเลือนริ้วรอยเล็ก ๆ ที่เกิดจากผิวแห้งกระหาย นอกจากนี้ เซราไมด์ยังช่วยเสริมความแข็งแรงให้กับผิวชั้นนอก ป้องกันการสูญเสียน้ำและรักษาความชุ่มชื้นไว้ได้ยาวนาน
มาสก์ที่มีส่วนผสมของเปปไทด์ รีทินอล และสารสกัดจากสาหร่าย มีคุณสมบัติในการกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนและอีลาสตินในชั้นผิว ช่วยลดเลือนริ้วรอยรอบดวงตาได้อย่างมีประสิทธิภาพ เปปไทด์ช่วยส่งสัญญาณให้ผิวสร้างคอลลาเจนใหม่ ในขณะที่รีทินอลช่วยเร่งการผลัดเซลล์ผิวเก่าและกระตุ้นการสร้างเซลล์ผิวใหม่ ส่วนสารสกัดจากสาหร่ายมีแร่ธาตุที่จำเป็นต่อการซ่อมแซมผิว และช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับผิวรอบดวงตา ทำให้ริ้วรอยตีนกา รอยเหี่ยวย่น และร่องลึกจางลงได้
มาสก์ที่มีส่วนผสมของวิตามินบี3 (ไนอาซินาไมด์) อาร์บูติน และสารสกัดจากชาขาว มีคุณสมบัติในการฟื้นฟูผิวรอบดวงตาให้กลับมาสดใสมีชีวิตชีวา วิตามินบี3 ช่วยปรับสีผิวให้สม่ำเสมอและเพิ่มความกระจ่างใส อาร์บูตินช่วยยับยั้งเอนไซม์ไทโรซิเนสซึ่งเป็นสาเหตุของการสร้างเม็ดสีเมลานิน ส่วนสารสกัดจากชาขาวอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยปกป้องผิวจากความเสียหายของสิ่งแวดล้อมและแสงแดด ทำให้ผิวรอบดวงตาดูสว่างกระจ่างใสและมีสุขภาพดี
การใช้มาสก์ใต้ตาไม่ใช่แค่ซื้อมาแล้วแปะไว้เท่านั้น แต่มีวิธีการใช้ที่ถูกต้องเพื่อให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุด หากเราทำตามขั้นตอนต่อไปนี้อย่างสม่ำเสมอ จะช่วยให้สารสำคัญซึมเข้าสู่ผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนยิ่งขึ้น
ขั้นตอนแรกที่ให้เราทำความสะอาดผิวให้สะอาด ควรใช้คลีนเซอร์อ่อนโยนหรือคลีนเซอร์น้ำมันทำความสะอาดเครื่องสำอางเฉพาะสำหรับผิวบริเวณรอบดวงตา เพื่อขจัดสิ่งสกปรก น้ำมันส่วนเกิน และเครื่องสำอางที่ตกค้าง การทำความสะอาดผิวอย่างหมดจดจะช่วยให้สารสำคัญในมาสก์สามารถซึมเข้าสู่ผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ถูกขัดขวางด้วยสิ่งสกปรกหรือความมันบนผิว หลังล้างหน้าให้เช็ดผิวเบา ๆ ด้วยผ้าสะอาดแล้วทิ้งให้ผิวแห้งสนิทก่อนใช้มาสก์
การแช่มาสก์ในตู้เย็นประมาณ 15-30 นาทีก่อนใช้จะเพิ่มประสิทธิภาพในการลดอาการบวมใต้ตาได้อย่างมาก ความเย็นจากมาสก์จะช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดและช่วยลดการบวมน้ำใต้ตาได้ทันที นอกจากนี้ ความเย็นยังช่วยให้รูขุมขนหดตัว ทำให้ผิวดูเรียบเนียนขึ้น และช่วยบรรเทาความเมื่อยล้าของดวงตาได้อย่างดี เหมาะอย่างยิ่งสำหรับคนที่ต้องทำงานหน้าจอเป็นเวลานานและมีอาการตาล้า แต่ควรระวังไม่ให้มาสก์เย็นจนเกินไปเพราะอาจทำให้เกิดการระคายเคืองได้
การวางมาสก์ให้แนบสนิทกับผิวเป็นสิ่งสำคัญมาก มาสก์ส่วนใหญ่มีรูปทรงโค้งออกแบบมาให้เข้ากับเส้นโค้งใต้ตาพอดี ควรวางมาสก์ให้ชิดกับขอบตาล่างแต่ไม่เข้าใกล้ลูกตาจนเกินไป โดยทั่วไปควรวางห่างจากขอบตาประมาณ 1-2 มิลลิเมตร หากมาสก์มีรอยพับหรือไม่แนบสนิทกับผิว ให้ใช้ปลายนิ้วกดเบา ๆ ให้แนบผิว ระวังอย่าดึงหรือยืดผิวบริเวณรอบดวงตามากเกินไปเพราะจะทำให้เกิดริ้วรอยได้
ระยะเวลาที่เหมาะสมในการวางมาสก์ใต้ตาคือประมาณ 10-20 นาที ขึ้นอยู่กับคำแนะนำของผลิตภัณฑ์นั้น ๆ การทิ้งไว้นานเกินไปไม่ได้ทำให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้น แต่อาจทำให้เกิดการระคายเคืองหรือผิวแห้งตึงได้ โดยมาสก์ที่ดีควรยังคงความชุ่มชื้นตลอดระยะเวลาที่ใช้ อาจใช้เวลาพักผ่อนระหว่างมาสก์ ฟังเพลงหรือทำสมาธิเพื่อผ่อนคลายความเครียด ซึ่งช่วยลดการขมวดคิ้วและบรรเทาอาการตาล้าได้อีกทางหนึ่ง
หลังจากแกะมาสก์ออกแล้ว จะมีเซรั่มเข้มข้นเหลืออยู่บนผิว ให้ใช้ปลายนิ้วนางนวดเบา ๆ รอบดวงตาเพื่อให้สารสำคัญซึมเข้าสู่ผิวได้ดียิ่งขึ้น เริ่มจากมุมในของตาแล้วไล่ไปตามใต้ตาจนถึงหางตา จากนั้นวนกลับมาที่ใต้คิ้ว ทำเช่นนี้ประมาณ 30 วินาที โดยใช้แรงกดน้อยที่สุด การนวดจะช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดและน้ำเหลือง ช่วยลดอาการบวมใต้ตา และช่วยให้สารสำคัญในมาสก์ดูดซึมได้ดียิ่งขึ้น
ความถี่ในการใช้มาสก์ใต้ตาที่เหมาะสมคือ 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ การใช้มากเกินไปอาจทำให้ผิวเกิดการระคายเคืองและแพ้สะสม โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของกรดผลไม้ (AHA) หรือรีทินอลซึ่งมีฤทธิ์ในการผลัดเซลล์ผิว สำหรับมาสก์ที่เน้นความชุ่มชื้นอาจใช้ได้บ่อยกว่านี้หากไม่มีอาการแพ้หรือระคายเคือง ผู้ที่มีผิวแพ้ง่ายควรเริ่มใช้สัปดาห์ละครั้งก่อนแล้วค่อย ๆ เพิ่มความถี่ตามการตอบสนองของผิว และควรทดสอบการแพ้ก่อนใช้ผลิตภัณฑ์ใหม่เสมอ
หลังจากมาสก์ใต้ตาควรเสริมการบำรุงด้วยอายครีมเพื่อผนึกความชุ่มชื้นและสารอาหารไว้ที่ผิว อายครีมที่ดีควรมีเนื้อสัมผัสเบาและซึมซาบไว ไม่ก่อให้เกิดการอุดตันรูขุมขน สำหรับช่วงเช้าควรเลือกอายครีมที่มีส่วนผสมของสารกันแดด เพื่อปกป้องผิวบอบบางบริเวณรอบดวงตาจากรังสี UV ที่เป็นสาเหตุหลักของริ้วรอยและความหมองคล้ำ ส่วนช่วงกลางคืนควรเลือกอายครีมที่เน้นการฟื้นฟูและซ่อมแซม เช่น มีส่วนผสมของเปปไทด์ รีทินอล หรือกรดไฮยาลูโรนิก
สำหรับปัญหาถุงใต้ตาที่รุนแรง การผ่าตัดถุงใต้ตาอาจเป็นทางเลือกที่เหมาะสม โดยขั้นตอนนี้จักษุแพทย์จะทำการกำจัดไขมันใต้ตา พร้อมกับยกกระชับกล้ามเนื้อใต้ตาให้แข็งแรง ทำให้ตาดูสดใสและอ่อนเยาว์ขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ผลลัพธ์จะอยู่ได้ยาวนานกว่าการใช้มาสก์ใต้ตาหรือครีมบำรุง แต่ควรปรึกษาแพทย์ผู้ชำนาญการเพื่อประเมินความเหมาะสมและความเสี่ย งก่อนตัดสินใจเข้ารับการผ่าตัด